สติ๊กเกอร์ “เฟรนชี่ลัคกี้-ลูซี่ เดอะเฟรนซ์บูลด็อก”
ค่ำวานนี้ฝนตกหนักมาก เสียงฟ้าดังอื้ออึงเป็นระยะ
พี่น้องสองสาวช่วยกันรายงานว่า วายร้ายตาโปนผู้ซึ่งอยู่ในวัยหนุ่มวัยฉกรรจ์แล้วยังคงนึกว่าตัวเองเป็นเบ๋บี๋ วิ่งขึ้นวิ่งลงระหว่างชั้นบนและชั้นล่างของบ้านอย่างพลุ่งพล่านลนลาน ดวงตากลมโตของเขาแถบจะถลนออกนอกเบ้าเหมือนเช่นเคยที่เจอเหตุการณ์บีบคั้นหัวใจ
เมื่อตัวหนึ่งวิ่งหน้าตั้ง ตัวหนึ่งก็พลอยถูกเร่งเร้าตาม ลูซี่ที่กำลังครอบหัวด้วยอุปกรณ์เสริมพิเศษ “เครื่องมือหมาจ๋อย” ไม่สนใจว่าคอลลาร์ที่สวมใส่จะเกะกะระรานราวบันไดหรือไม่ เธอก็กระโดดโลดแล่นราวกับไม่มีสิ่งใดๆเป็นอุปสรรคกีดขวาง ตามลัคกี้ไป
พอขึ้นชั้นสองของบ้าน ลัคกี้พยายามหาที่ปลอดภัยที่สุดเพื่อซุกตัว เมื่อวานนี้เขาค้นพบที่หลบภัยใหม่ นั่นเป็นตู้เสื้อผ้าที่เปิดแง้มไว้ เขาพยายามเอาหัวมุดเข้าไป แต่ปัญหาคือตู้เสื้อผ้าบานเปิดชำรุด การเลื่อนเพื่อเปิดแต่ละครั้งจึงออกแรงมหาศาลซึ่งเกินกำลังของวายร้ายจะทำได้
ลัคกี้กลัวฟ้าคะนองตั้งแต่เด็ก แต่ลูซี่เธอไม่เคยกลัวอะไร อาการวิ่งวนสับสนในชีวิตน่าจะเกิดจากการเห็นพฤติกรรมของผู้พี่ เธออาจจะมีคำถามเสมอว่า พี่จะวิ่งทำไมของพี่ แต่สุดท้ายเธอก็ทำตามอย่าง
ทั้งคู่อยู่ด้วยกันจนกลายเป็นเงาของกันและกันไปแล้ว ไม่ว่าซอกหลืบมุมไหน มีเธอก็ต้องมีฉัน
เมื่อผมกลับมาถึงบ้าน ฝนหยุดตกแล้ว ทุกอย่างเข้าสู่ภาวะปกติ เหลือร่องรอยที่ทิ้งไว้ที่กิ่งไม้หัก น้ำเจิ่งนองเพราะระบายไม่ทันตามแนวถนนทางเข้าหมู่บ้าน ผสมกับคำบอกเล่าดังกล่าว ผมไม่ต้องเสียเวลานึกภาพนาน ความชุลมุนชุลเกของสองตัวกระจ่างแจ่มชัดเสมอ
ทว่า ใครที่เพิ่งรู้จักพวกเขา เมื่อเดินเข้าบ้านเราแล้วเห็นหมาสีขาวนั่งพับเพียบเรียบร้อยที่พื้น บนโซฟาเหนือเขาขึ้นไปมีอีกตัวสีดำสวมใส่ลำโพงสีขาวตัดกับผิวนั่งจุ๊มปุกอยู่จะดูคล้ายว่า ช่างเป็นหมาที่สุภาพ นิ่ง และ สงบ อะไรปานนั้น
เชื่อเหลือเกินว่ากระทั่ง ซีซาร์ มิลลาน ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาสุนัขชื่อดังมาเห็นก็ต้องยกนิ้วให้กับการอบรมสั่งสอนของครอบครัวเรา
“โอ…ดูพวกมันสิครับ ช่างเป็นหมาที่นิ่งสงบและยอมจำนนจริงๆ” เขาคงต้องอุทานอย่างนี้ แต่หารู้ไม่พลังงานของทั้งคู่ถูกปลดปล่อยจากฝนตกฟ้าร้องไปเรียบร้อย
ลัคกี้ และ ลูซี่ นั่งกันอย่างสงบ คล้ายรอให้เรากล่าวอะไรกับพวกเขาซึ่งนั่นสบอารมณ์ผมพอดี เมื่อสองสาวรายงานจบ พวกเขาก็นั่งนิ่งๆ ผมอยากจะบอกทั้งสองว่า วันนี้เป็นวันที่ดีสำหรับครอบครัววันหนึ่งเลยนะ
หลังจากที่เตรียมงานมาหลายเดือน อยากจะทำอะไรสักอย่างออกมาเพื่อบ่งบอกถึงความรัก ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับสุนัข พร้อมๆกับผู้ที่ชอบและรักเพื่อนสี่ขาเหมือนๆกัน
ระหว่างที่ปัจจัยทั้งหลายในชีวิตเปลี่ยนไปตามกาลเวลา เทคโนโลยีก็เปลี่ยนไปตาม เมื่อก่อนเคยเขียนบอกเล่าเรื่องราวของ ลัคกี้ ลูซี่ ในบล็อก ก็ค่อยๆพัฒนาเป็นพ็อกเกตบุ๊ค ออกมาทั้ง 3 เล่ม ต่อเนื่องยาวนานกว่า 6ปี
ขณะที่พักการเขียนไปก็มีการสื่อสารรูปแบบใหม่ๆเข้ามาให้เราไม่ขาดการติดต่อกันทั้งเฟซบุ๊คและอินสตราแกรม ซึ่งยังขาดอีกหนึ่งช่องทางที่นิยมกัน นั่นก็คือ ไลน์ ครอบครัวจึงมองไปที่การทำการ์ตูนของทั้งสองตัวเป็นสติ๊กเกอร์
ขั้นตอนการทำมีอยู่พอประมาณ แต่คิดไม่นานนัก เพราะบุคคลิกของทั้งสองมันฝังใจจำเราอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นความกวน ความป่วน ความออดอ้อน และ พฤติกรรมที่สุดจะอธิบายได้ ได้แต่พูดกับตัวเองว่า “เอิ่ม”
นอกจากนั้น คำพูดและท่าทางของการวาดออกมาเป็นลายเส้นล้วนถ่ายทอดชีวิตประจำวันของพวกเขาแทบจะถอดแบบออกมาพิมพ์ที่พวกเขาเป็น เราใส่คำพูดแทนใจพวกเราและเขาลงไปเพื่อสื่อสารระหว่างเรากับเขาทั้งสองและเพื่อนๆคนรักสุนัขด้วยกันไว้สื่อสารกันให้ใกล้ชิดกันตลอดเวลา
ตั้งแต่ต้นจนเปิดขายในร้านค้าสติ๊กเกอร์ของLine ในกลุ่มของสติ๊กเกอร์ครีเอเตอร์ เราใช้ระยะเวลาไม่มากไม่น้อย เมื่อออกมาทางไลน์ให้โหลดได้เมื่อวานนี้เป็นวันแรก จากการบอกเล่าต่อๆกัน ช่วยกันคนละแชร์ทำให้สติ๊กเกอร์ “เฟรนชี่ลัคกี้–ลูซี่ เดอะเฟรนซ์บูลด็อก” โหลดกันไปใช้จำนวนพอที่แทรกตัวขึ้นมาจากสติ๊กเกอร์จำนวนมากมายมหาศาลมาอยู่ในกลุ่มท็อป150 ได้ แรงผลักดันนี้นอกจากปริ้มปริ่มแล้ว ต้องขอบคุณทุกท่านที่สนับสนุนรักและเอ็นดูลัคกี้–ลูซี่ด้วยใจจริงๆ
ผมจึงต้องบอกข่าวดีแก่เจ้าของลิขสิทธิ์ลัคกี้–ลูซี่ ด้วยรัก และ ความผูกพันที่เรามีต่อหมา พวกพ้องน้องพี่ เพื่อนที่ดีที่สุดของเรา