“ทางฝ่ายเขมรนั้นหลอกลวงฝรั่งเรื่อยมาว่าเขาพระวิหารเป็นปูชนียสถานที่สำคัญของเขมร แล้วไทยยึดเอามาไว้ในดินแดนของตน เขมรไม่สามารถที่จะขึ้นมาทำพิธีบูชามาประกอบพิธีกรรมทางศาสนาได้ เป็นการกระทบกระเทือนน้ำใจกันอย่างรุนแรง เหมือนกับว่าถ้าเขาพระวิหารยังอยู่กับไทยแล้ว เขมรไม่มีวันที่จะไหว้พระไหว้เจ้าได้ หรือถ้าจะเปรียบไปก็คล้ายๆ กับมีประเทศหนึ่งมายึดครองวัดพระแก้วแล้วไม่ยอมให้คนไทยเข้าไปไหว้พระแก้ว คนไทยก็จะต้องเดือดร้อน
การที่เขาพระวิหารตกเข้าไปอยู่ในเขตไทยนั้น เขมรเดือดร้อนอย่างยิ่งตามคำกล่าวอ้างของสีหนุ เพราะไม่รู้จะไปไหว้พระสะเจ้าที่ไหนได้แล้ว จำเป็นที่จะต้องเอาเขาพระวิหารไปให้เขมรโดยด่วน ไม่เช่นนั้นก็เป็นอันว่าเขมรตายแล้วตกนรกทั้งชาติ— — เพราะฉะนั้นที่ท่านสีหนุจะแสดงการไต่เขาชั้นยอด เอาพระสงฆ์องค์เจ้ามาลำบาก เอามหาดเล็กข้าหลวงตามเสด็จ อาจจะตกเขาคอหักตายกันหมดได้ครั้งนี้ ก็เพื่อว่าจะโกหกคนทั้งโลกต่อไปว่า เขาพระวิหารนั้นเป็นปูชนียสถานสมดังที่ตนได้กล่าวไว้แล้ว”[ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช “เพื่อนนอน” วันที่ 27 พฤศจิกายน 2505]
— — — — — — — —
“ท่านเอกอัครราชทูตเขมรได้บอกว่า ความจริงกรุงศรีอยุธยาได้ตั้งขึ้นเมื่อคริสต์ศักราช๑๓๕๐ เท่านั้นเอง ซึ่งเรียกว่าใหม่กว่าวัฒนธรรมของเขมรมาก และคนไทยนั้นไม่ใช่ผู้ที่รักษาวัฒนธรรมของเขมรเลย
เพราะในปีคริสต์ศักราช๑๔๓๑ คนไทยก็ไปตีนครธมแตก หลังจากที่ได้ล้อมอยู่ถึง ๗ เดือน
แล้วเมื่อได้ตีแตกแล้วคนไทยก็ได้ทำลายนครธมเสียสิ้น
วัฒนธรรมอันรุ่งเรืองต่าง ๆ อันรุ่งเรืองสูงสุดของเขมรก็สิ้นสุดลงนับแต่วันนั้น ทางเขมรนั้นก็หลบหนีไปตั้งต้นเป็นเอกราชอยู่ทางภาคใต้ของประเทศ— —
เมื่อเขมรเองเขาก็ปฏิเสธอย่างนี้ เราก็ได้รู้กันเสียทีว่า ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นอารยธรรม ความเจริญและวัฒนธรรม ตลอดจนศิลปะ วรรณคดี การนาฏศิลป์ การดนตรี และประเพณีความเป็นอยู่ การแต่งกายทุกอย่าง เป็นเรื่องที่คนไทยเราคิดเองทั้งนั้น เราไม่ได้ไปขอหยิบขอยืมมาจากใครทั้งสิ้น— —
สมบัติของเขมร—ถูกทำลายหมดไปเมื่อนครธมแตก ตั้งแต่นั้นมาเขมรก็เป็นยาจก ไม่มีอะไรเป็นของตัวเองเลย ความเจริญทุกอย่างเขาบอกเองว่าได้สิ้นสุดลงไปตั้งแต่วันนั้น
เพราะฉะนั้นสมบัติทั้งหลายทั้งปวงที่เขมรมีหลังจากนั้น คือหลังจากที่พระเจ้าสามพระยาตีนครธมแตกแล้วนั้น
เขมรได้ไปจากไทยทั้งนั้น
เราก็เป็นผู้มีบุณคุณต่อชาวเขมรตลอดมา แต่ว่าการที่มีบุณคุณกับเขมรนั้นก็เป็นธรรมดาจะหวังอะไรตอบแทนก็เห็นจะไม่ได้”[ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช “เพื่อนนอน” วันที่ 6 มกราคม 2506]
