กรุงเทพวันนี้ (๔)
ทหารฆ่าประชาชน ทหารฆ่าประชาชน ทหารฆ่าประชาชน…
เสียงแกนนำเสื้อแดงตะโกนผ่านลำโพงซ้ำๆ อยู่แบบนั้น ขัดกับภาพที่ปรากฎอยู่ในคลิปเดียวกัน
ที่แสดงให้เห็นถึงภาพของทหารที่กำลังพยายามช่วยเหลือเพื่อนทหารที่ได้รับบาดเจ็บนอนแน่นิ่ง
อยู่บนพื้นถนน อีกทั้งมีการส่งสัญญานมือจากทางฝ่ายทหารเพื่อขอร้องให้เสื้อแดง
ยุติการโจมตีก่อนเนื่องจากมีทหารได้รับบาดเจ็บ แต่ฝ่ายเสื้อแดงก็ไม่ได้มีใจจะปราณีแต่อย่างใด
ยังคงขว้างระเบิดเพลิงแดงประดิษฐ์เข้าใส่ ซ้ำจากนั้นยังมีการยิงฝ่ายทหารด้วย M79 ตามมาอีกลูก
.
10 เมษา ไกลจากฝั่งจ.ระนอง ณ ช่วงเวลาบ่ายที่ฉันได้รับโทรศัพท์ว่าทหารจะเคลียร์ม็อบแล้ว
อัพเดทสถานการณ์สั้นๆ เพียงเท่านั้นแต่ก็ทำให้ฉันเกิดความกังวลว่าทหารไม่น่าจะคุมสถานการณ์ได้
ในเมื่อไม่อาจจะมองข้ามความจริงว่าอีกฝ่ายพร้อมที่จะใช้ความรุนแรงมาแต่เริ่มแล้ว
หรือหากว่าจะคุมสถานการณ์อยู่ก็คงไม่พ้นต้องมีคนบาดเจ็บหรือล้มตายกันบ้าง
หัวค่ำวันเดียวกันสถานการณ์ก็ทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งฉันก็รับข่าวความเคลื่อนไหวผ่านทางโทรศัพท์
เป็นระยะๆ เล่นเอาใจฉันไม่อยู่กับงานสังสรรค์ตรงหน้าจนเพื่อนร่วมวงจับสังเกตได้
หนึ่งในนั้นเป็นนักข่าวของสำนักข่าวต่างประเทศแห่งหนึ่ง ซึ่งเดินทางมาก่อนหมายกำหนด
การทำงานในประเทศไทย ความเข้าใจต่อสถานการณ์ของเขายึดไว้เพียงประชาชนมีสิทธิเสรีภาพ
ในการชุมนุม เขายกตัวอย่างเรื่องการชุมนุมในบางประเทศที่มีความรุนแรงอยู่เกือบจะทุกครั้ง
เมื่อมีการชุมนุมเรียกร้องแต่หลังจากนั้นสถานการณ์ก็กลับสู่ภาวะปกติ
เขาจึงไม่ได้มองว่าการที่ทหารทำการเคลียร์ม็อบในวันนั้นเป็นสถานการณ์ที่น่าวิตกแต่อย่างใด
ซึ่งนั่นก็คงจะเป็นเพราะว่าเขามองสถานการณ์ด้วยสายตาของ “คนต่างชาติ” ที่ไม่เข้าใจสถานการณ์
ภายในบ้านเราอย่างถ่องแท้ หากแต่ฉันแย้งว่ามันจะไม่จบเพียงเท่านั้นนอกเสียจากว่าทหารจะฮึดขึ้นมา
ทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งก็คาดเดาได้ยากสำหรับทหารในยุคปัจจุบันนี้ที่ดูจะห่วงภาพลักษณ์
และพยายามรักษาภาพพจน์กองทัพเพื่อประชาชนกว่าอื่นใด
เบ็ดเสร็จข่าวสุดท้ายของค่ำคืนนั้นที่ได้ยินคือยอดทหารเสียชีวิต 4 นายและนักข่าวต่างประเทศอีก 1
และประชาชนที่ตัวเลขยังไม่นิ่ง(ในขณะนั้น) งานสังสรรค์ที่ยังคงดำเนินไปอย่างยืดเยื้อ
ทำให้ฉันต้องกระซิบบอกคนข้างๆ ว่าฉันรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ จากนั้นก็ขอตัวออกมาจากงาน
ตลอดทางที่เดินกลับที่พัก ฉันเฝ้าแต่ถามตัวเองว่า .. ทำไม .. ทั้งๆ ที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเหตุการณ์เช่นนี้
ต้องเกิดขึ้น แต่ก็อดที่จะถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนั้นไม่ได้
เช้ามืดวันที่ 13 เมษา .. บนถนนเมืองกรุงที่เคยคึกคักกลับดูเงียบเหงาจนแทบจะกลายเป็นเมืองร้าง
ด้วยความที่ไกลกรุงไปเกือบ 10 วันอีกทั้งสถานการณ์บ้านเมืองที่ไม่เป็นปกติ เลยทำให้ฉันรู้สึกว่า
เป็นคนแปลกหน้าสำหรับกรุงเทพซะอย่างนั้น
ข่าวคราวความเคลื่อนไหวแรกที่ได้รับกับเช้าแรกที่กลับเข้ากรุงเทพก็ไม่พ้นได้ยินจากปากคนขับแท๊กซี่
ที่เอ่ยคำแรกก็คือ ” สงสารทหาร ” และต่อมาก็คือ ” สงสารนายก ” ฉันนั่งฟังเขาเล่าเหตุการณ์ในวันนั้น
อย่างเงียบๆ เนื่องจากว่ายังต้องการที่จะได้เห็นได้อ่านข่าวต่างๆ ด้วยตัวเองสียก่อน
และฉันยังจำหลายๆ อ้อมกอดในเช้าวันที่ 11 เมษาได้ดี อ้อมกอดของเพื่อนต่างชาติหลายต่อหลายคน
ที่ตรงเข้ามาหาที่โต๊ะอาหารเช้า ทุกๆ คนเอ่ยเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ เสียใจ .. ที่เกิดเรื่องเช่นนี้
ในประเทศไทย ฉันเองก็ตอบกลับไปว่าฉันเองก็เสียใจที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ในบ้านเมืองเรา
ยอมรับว่าเช้าวันนั้นฉันรู้สึกหดหู่กับเหตุที่เกิดในคืนก่อนหน้า จนไม่อาจจะพูดอะไรออกไปได้มากกว่านั้น
ใครคนหนึ่งเอ่ยปลอบฉันเบาๆ ว่า .. พวกเขาทำตามหน้าที่ .. ฉันเองก็เข้าใจดีว่าหน้าที่ของทหาร
คือการรักษาความสงบ มั่นคงให้บ้านเมือง หากแต่ฉันไม่อาจจะยอมรับได้ว่า ทหารมีหน้าที่
ออกไปยืนรอรับกระสุนหรือระเบิด อีกทั้งภาพความป่าเถื่อนที่ประเดประดัง ถ่ายทอดออกมาเป็นคลิปวิดีโอ
ยิ่งทำให้ฉันไม่อาจจะยอมรับได้ และผิดหวังที่รัฐบาลและผู้นำกองทัพ ไม่ใช้ความเด็ดขาดในการจัดการ
เพราะภาพด้านลบมันคงจะไม่ได้มากไปกว่านั้นแล้ว ในเมื่อมีภาพด้านลบก็ควรจะจบเสียในคราวเดียว
แต่ท้ายที่สุดนอกจากไม่สามารถจะทำให้จบได้ในคราวเดียวก็คงจะต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง
กรุงเทพวันนี้สำหรับฉัน เป็นเมืองหลวงที่ความศิวิไลซ์ถูกซ่อนเอาไว้หลังฉากสีแดง
ยิ่งหลังจากวันที่ 10 เมษา เป็นต้นมาแล้วนั้น ดูเหมือนว่าแดงจะได้ใจในการครองเมืองมากขึ้น
โดยที่ไม่ได้ใส่ใจเลยว่า ชาวกรุงจะรู้สึก จะมีความลำบากทั้งกายและใจในการดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไร
ฉันคงจะไม่รู้สึกประหลาดใจหรอก หากว่าในวันหนึ่งข้างหน้านี้ จะมีชาวกรุงที่ลุกขึ้นมาทวงสิทธิ์
ในการดำเนินชีวิตกลับคืนมาบ้าง และจะไม่ประหลาดใจเลย หากการทวงสิทธิ์นั้นจะไม่ใช่การเจรจา
ด้วยวาจา แต่เป็นการประกำลัง ก็ในเมื่อไม่อาจจะพึ่งใครได้ แล้วจะให้ชาวกรุงพึ่งใคร นอกจากพึ่งตนเอง ..
ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต
(ภาพ : ศาสตราจารย์เฉลิม นาคีรักษ์ ศิลปินแห่งชาติ)
เนื่องในดิถีสงกรานต์ พุทธศักราช 2553
ขอให้ Sazz เจริญด้วยอายุ วรรโณ สุขัง พลัง
บุญกุศล และโชคลาภวาสนา . . .
🙂
สวัสดีค่ะพี่ชบา วันนั้นหนูอยู่ไกลจากฝั่งแต่ไม่ไกลจากข่าวค่ะ
เพียงแต่ข่าวที่ได้รับไม่ละเอียดและไม่ทันอย่างใจหวัง
แต่สิ่งหนึ่งที่บอกได้คือกระแสตอบรับของเพื่อนร่วมชาติที่ไม่ได้อยู่ในกรุงเทพ
ที่ต่างก็แอนตี้การกระทำของเสื้อแดง ที่น่าชื่นใจอีกอย่างคือไม่เฉพาะคนไทยที่รักในหลวง
เพราะคนต่างชาติที่หนูได้พบที่นั่น ทุกๆ คนที่ได้คุยกันเรื่องการเมืองนั้น
ต่างก็ออกปากว่า i’m yellow i love your King
มีอยู่คนหนึ่งที่ตอนนี้พำนักอยู่ในกัมพูชาน่ะค่ะ
ก็เมาท์ยาวเรื่องความชั่วช้าของฮุนเซนให้ฟังเป็นของแถมด้วย
สุดสัปดาห์นี้คงมีความเคลื่อนไหวอะไรอีกล่ะค่ะ สวัสดีปีใหม่ไทยค่ะพี่ __/|\__
ขอบคุณศศิ ช่วยบันทึกประวัติศาสตร์หน้าสำคัญการเมืองไทย
ของกรุงเทพฯ ในสงกรานต์เลือดอีกปีของเรา
ขอร่วมแสดงความเสียใจกับผู้สูญเสียทุกท่าน
ขอเป็นกำลังใจให้ทหารและผู้บาดเจ็บทุกคน
จงมีกำลังใจและหายเป็นปกติโดยไว
รักคนไทยทุกคนค่ะ..
…