หนาวนี้ต้องลองไป “เชียงราย” “เส้นทางจากภูชี้ฟ้า สู่ดอยผาตั้ง ถึงภูชี้ดาว”
หลังจากกรมอุตุนิยมวิทยาประกาศแจ้งว่าประเทศไทยเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเป็นทางการ ผมเริ่มคิดถึงแผนการเดินทางเพื่อไปเยือนอากาศหนาวตามประกาศนั้น ก่อนจะได้ข้อสรุปกับการใช้ช่วง 4 วัน 3 คืนในรอบนี้ที่จังหวัดเชียงราย เมืองที่เต็มไปด้วยเรื่องราว ศิลปะ ธรรมชาติ และวิถีของชาวบ้าน
หากเราจะปักหมุดเดินทางโดยเริ่มต้นที่เมืองเชียงรายแบบผม ในช่วงวันแรกของการเดินทางที่มุ่งตรงมาจากกรุงเทพฯเพื่อไม่ให้เหนื่อยกับการเดินทางมากนัก ผมจึงเลือกใช้วันแรกของการเดินทางในตัวเมือง ก่อนที่จะไปยังเป้าหมายหลักของการเดินทางในครั้งนี้ในวันรุ่งขึ้น
ผมว่าจริงๆ แล้วเชียงรายอย่างที่หลายคนรู้จักครับ สถานที่ท่องเที่ยวมีค่อนข้างหลากหลาย และหลายสถานที่เป็นที่ที่เรารู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น วัดร่องขุ่น หรือวัดขาว ผลงานอันเลื่องชื่อของจิตรกรคนสำคัญของประเทศไทย อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ หรือ จะเป็นบ้านดำ ของอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี
นอกเหนือจากชิ้นงานทางศิลปะที่ทุกคนคงเข้าถึงความงดงามแล้ว ทางด้านความศรัทธาทางพระพุทธศาสนา วัดวาอารามสำคัญหลายๆ แห่งก็ถือว่าเป็นเป้าหมายของนักเดินทางที่เดินทางมาที่เชียงรายแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็น วัดพระแก้ว วัดที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต, วัดพระสิงห์, วัดแสงแก้วโพธิญาณ, หรือจะเป็นวัดห้วยปลากั้ง เป็นต้น
สถานที่ทั้งหมดที่ผมพูดถึงอาจจะเป็นสถานที่ที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนเชียงราย แต่เป้าหมายจริงๆของผมสำหรับการเดินทางมาในครั้งนี้ คือ ยอดเขาสูง ภูสูงชัน ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงรายออกไปประมาณ 100 กิโลเมตร
ออกจากตัวเมืองเชียงราย บนเส้นทางผ่านสนามบินนานาชาติแม่ฟ้าหลวงมุ่งหน้าไปยัง อ.เทิง ก่อนจะเลี้ยวขึ้นด้านภูเขาผ่านโค้งนับร้อย เลาะเลียบขอบเขาหลายลูกเพื่อขึ้นไปยังที่พักในหมู่บ้านร่มฟ้าทอง โดยใช้เวลาประมาณ 1:30 – 2 ชั่วโมงแล้วแต่ความชำนาญและปริมาณนักท่องเที่ยว โดยที่พักสำหรับคืนนี้ผมเลือกที่จะพักที่โฮมสเตย์เล็กๆ ชื่อ ม่านฟ้าฮิลล์ ที่มีห้องพักเพียง 8 ห้อง ราคาสำหรับการเข้าพักจะคิดรวมอาหารมื้อเย็นและอาหารมื้อเช้าไปด้วย ต้องขอบอกครับว่าที่นี่เจ้าของใจดีมากครับ
2 ภู กับอีก 1 ดอย เป็นเป้าหมายหลักของการเดินทางมายังเชียงรายในครั้งนี้ของผมอยู่ห่างออกไปไม่ไกลจากที่พัก ผมวางแผนที่จะขึ้นภูทั้ง 2 ภูเพื่อชมพระอาทิตย์ในช่วงเวลาที่ต่างกัน ทั้งพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า และพระอาทิตย์ตกในช่วงเย็น และใช้เวลาในระหว่างวันกับการเดินขึ้นดอยเพื่อสัมผัสอีกบรรยากาศของการเดินทาง
“ภูชี้ฟ้า” คือยอดภูที่ผมเลือกเดินทางขึ้นเพื่อไปชมพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า นักท่องเที่ยวมากมายเดินทางขึ้นมาเพื่อชมปรากฎการณ์ทะเลหมอกบนภูสูงแห่งนี้ จากที่พักผมเลือกที่จะใช้บริการของรถในพื้นที่ให้มารับที่ที่พักที่จะมารับเวลาตี 5:20 เพื่อขึ้นไปยังจุดจอดรถก่อนจะต้องเดินเท้าขึ้นไปอีกประมาณ 400 เมตร ค่ารถจากที่พักเพื่อขึ้นในยังจุดจอดรถคิดค่ารถคนละ 60 บาท
ปัจจุบันการขึ้นไปยังยอดภูชี้ฟ้าสามารถขึ้นได้จาก 2 เส้นทาง ด้านหนึ่งคือฝั่งด้านที่ทำการวนอุทยาน ซึ่งถือว่าเป็นเส้นทางดั้งเดิม จากจุดจอดรถจะต้องเดินเท้าขึ้นไปอีกประมาณ 700 เมตร แต่เส้นทางจะไม่ชันเท่าอีกทางที่เพิ่งเปิดให้ขึ้นคือฝั่ง หน่วยจัดการต้นน้ำ ซึ่งจะเดินเท้าจากจุดจอดรถเพียง 400 เมตรแต่เส้นทางค่อนข้างลาดชัน
ฝั่งที่ขึ้นจากที่ทำการวนอุทยานเมื่อขึ้นไปถึงยังด้านบนภูชี้ฟ้าจะไปทางด้านหน้า ด้านหน้าผารูปสิงโตสัญลักษณ์สำคัญของภูชี้ฟ้าแห่งนี้ แต่เส้นทางจากหน่วยจัดการต้นน้ำจะขึ้นไปยังด้านท้ายของภู ซึ่งจะมีลักษณะเป็นลานที่กว้างกว่า โดยมีจุดให้นักท่องเที่ยวเลือกที่จะนั่งพักรอการขึ้นประกายแสงของพระอาทิตย์ค่อนข้างกว้าง แต่ในด้านท้ายเป็นคล้ายช่องลมซึ่งต้องบอกเลยครับว่าลมด้านบนโดยเฉพาะด้านท้ายของภูชี้ฟ้าแรงมากเลยทีเดียว
ไกด์เด็กในพื้นที่ที่จะรอรับนักท่องเที่ยวที่สนใจให้เดินขึ้นไปด้วยจะมารอรับนักท่องเที่ยวตั้งแต่บริเวณจุดจอดรถ ผมเลือกที่จะใช้บริการไกด์เด็กครับ เพื่อที่จะได้สอบถามข้อมูลต่างๆ รวมทั้งขอคำแนะนำจุดตั้งกล้องในการเฝ้ารอการปรากฎแสงของพระอาทิตย์
ไม่นานนักพระอาทิตย์เริ่มทอแสงขึ้น จากความมืดสนิทในช่วงแรก แสงสีเหลือง ส้ม ทอง เริ่มทวีความเข้มข้นขึ้น เบื้องหน้าภูเขาลูกน้อยใหญ่ในฝั่งประเทศลาว ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกขาวโพลนโดยทั่ว เสียงกดชัตเตอร์กล้อง รวมถึงโทรศัพท์มือถือเริ่มดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นักท่องเที่ยวหลายคนเริ่มหาจุด หามุมส่วนตัวเพื่อเก็บภาพความประทับใจเหล่านั้น และคงหลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับมุมสำคัญที่นักท่องเที่ยวอาจจะต้องต่อแถวเข้าคิวเพื่อถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกอย่างบนหน้าผาที่รูปลักษณะคล้ายหัวสิงโต กำลังมองเชิดหน้าไปอีกด้านหนึ่งของภูเขา
หลังจากพระอาทิตย์ขึ้นส่องแสงไปทั่วฟ้านักท่องเที่ยวต่างทยอยลงตามเส้นทางที่ตัวเองเดินทางขึ้น ทางลงดูง่ายกว่าทางขึ้นในตอนแรก สีเขียวของต้นไม้น้อยใหญ่ ต้นหญ้ารวมถึงดอกไม้หลายสีที่เริ่มออกดอกตลอดเส้นทาง ไกด์เด็กที่นำผมขึ้นไปด้านบนก็เดินกลับมาส่งผมในจุดเริ่มต้น โดยนักท่องเที่ยวสามารถให้ค่าน้ำใจสำหรับการบริการ การให้ข้อมูลเท่าไหร่ก็ได้ขึ้นอยู่กับแต่ละคน ในช่วงสายของวันเดียวกันผมอยากจะแนะนำให้ไปลองขึ้นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของการเดินทางมายังภูชี้ฟ้า
สัญลักษณ์ที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 25 กิโลเมตร จากฝั่งหน่วยจัดการต้นน้ำ โดยระยะทางจากฝั่งหน่วยจัดการต้นน้ำกับฝั่งวนอุทยานห่างกันประมาณ 6 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงจากที่พักของผม ก็จะเดินทางมาถึงจุดจอดรถทางขึ้นเส้นทางสำหรับขึ้นไปยัง ดอยผาตั้ง โดยจะมีร้านขายของ ผลไม้ สินค้าของชาวบ้านขายอยู่ด้านล่าง
การเดินทางขึ้นไปยังดอยผาตั้งเพื่อไปชมยังจุดสำคัญๆ ที่มีด้วยกันอยู่หลายที่ ผมเลือกที่จะใช้บริการของไกด์เด็กๆ ในพื้นที่อีกครั้ง เพราะนอกจากจะเป็นรายได้ที่น้องๆ จะได้รับเพื่อเป็นทุนการศึกษาแล้วนักท่องเที่ยวก็จะได้รับข้อมูล ได้ใช้เวลาในการเดินทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะอย่างที่บอกครับมีหลายจุดที่ค่อนข้างน่าสนใจกับการเดินขึ้นมาบนดอยผาตั้งแห่งนี้
จุดแรกของการเดินขึ้นดอยผาตั้ง จะเป็นลักษณะประตูสีแดงที่นักท่องเที่ยวจะเดินผ่านเข้าไป มีความเป็นสัญลักษณ์รวมถึงภาษาจีนอยู่ไม่น้อย เพราะคนพื้นที่บริเวณนี้ส่วนใหญ่เป็นคนจีนฮ่อ สามารถพูดได้ทั้งภาษาไทย และภาษาจีน ซึ่งนั้นหมายถึงทั้งจีนเฉพาะพื้นที่และจีนกลางครับ
จุดแรกที่ไกด์เด็กของผมพาเดินไปชม นั้นคือ ผ่าบ่องประตูรักแห่งขุนเขา ลักษณะเป็นเหมือนช่องระหว่างเขา โดยครั้งหนึ่งจุดนี้จะทำเป็นเพียงประตูกั้นเล็กๆ ซึ่งเป็นการแบ่งเส้นเขตแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศลาว แต่ปัจจุบันได้มีการตกลงเพื่อเปิดประตูนั้น และสร้างเป็นจุดชมวิวจากฝั่งไทยเข้าไปยังฝั่งลาว โดยจะมีสัญลักษณ์รูปหัวใจอยู่ที่ลานด้านล่าง ที่น่าสนใจตรงบริเวณนั้นนั้นคือ ที่ขั้นบันไดขั้นสุดท้ายเมื่อก้าวลงไปนั้นแปลว่านักท่องเที่ยวได้ข้ามจากดินแดนของประเทศไทยไปอยู่ยังดินแดนของประเทศลาว
เมื่อเดินย้อนกลับมาด้านบนเพื่อไปยังจุดต่อไป เราจะผ่านลานที่จะพบกับกลุ่มชาวบ้านที่จะมาพร้อมกับม้า ซึ่งหากใครอยากจะขี่ม้าเพื่อขึ้นไปยังเขาด้านบนก็สามารถทำได้ โดยค่าบริการจะอยู่ที่คนละ 120 บาท เส้นทางไปยังจุดไกลสุดห่างออกไปประมาณ 950 เมตร แต่สำหรับผมผมว่าค่อนข้างอันตรายเลยทีเดียวครับ ผมจึงเลือกที่จะเดินเท้าขึ้นไปด้านบน
จุดที่ 2 ที่ไกด์พาผมขึ้นมาดู ลักษณะเป็นเหมือนเก๋งจีนขนาดไม่ใหญ่นัก เป็นศาลาอนุสรณ์นายพลหลี ผู้นำที่สามารถยึดคืนพื้นที่นี้กลับมาสู่ประเทศไทยได้ในช่วงของการต่อสู้ในอดีตจึงได้มีการสร้างศาลาแห่งนี้เพื่อให้เกียรตินายพลท่านนี้ ไม่ไกลนักจากศาลานายพลหลีจะมีลานที่มีพระพุทธรูปเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สักการะ โดยด้านข้างพระพุทธรูปจะมีระฆังว่ากันว่าใครอยากจะโด่งจะดังต้องมาตีระฆังนี้เลยครับ
หลังจากหยุดพักไม่นานผมเดินขึ้นต่อไปยังด้านบน จุดที่น่าสนในอีกจุดนั้นก็คือ ช่องผาขาด น้องไกด์เล่าให้ฟังว่าเดิมบริเวณดังกล่าวเป็นหน้าผาที่ยาวติดกันตลอด แต่เมื่อเกิดการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกทำให้หน้าผาดังกล่าวแยกตัวออกจากกัน จึงเรียกช่องผานั้นว่า ช่องผาขาด จากจุดนั้นวิวด้านเบื้องหน้าถือว่าสวยมากทีเดียวครับ ธรรมชาติ ภูเขา ต้นไม้ แม่น้ำ ทางด้านฝั่งลาวดูยังคงความสมบูรณ์เลยทีเดียวครับ
เดินต่อจากช่องผาขาดจะเป็นเส้นทางขึ้นไปยังยอดผาตั้ง โดย 2 จุดไฮไลท์ของดอยผาตั้งนั้นคือ เนิน 102 และเนิน 103 ระยะทางประมาณ 450 เมตรจากจุดเริ่มต้นจะไปถึงเนิน 102 ซึ่งเป็นลานกว้างด้านบนทำให้เราสามารถเห็นมุมต่างๆได้อย่าง 360 องศา นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่หยุดพักถ่ายรูปในบริเวณนี้ ใครที่ขี่ม้าขึ้นม้าอาจจะมีการถ่ายรูปบนหลังม้าจากมุมสูง ซึ่งสวยงามทีเดียวครับ และจากจุดนี้นักท่องเที่ยวส่วนมากก็จะตัดสินใจเดินกลับไปยังด้านล่างเพราะเนิน 103 ที่สูงกว่าจะต้องเดินต่อไปอีกประมาณ 500 เมตรเพื่อขึ้นไปยังยอดดอยของภูเขาอีกลูก
ผมแนะนำแบบนี้ครับ ถ้าใครไม่ไหวจริงๆ จุดชมวิวบนเนิน 102 ก็ถือว่าสวยมากครับ แต่หากยังมีเรี่ยวแรงอยู่ผมอยากจะแนะนำให้เดินต่อขึ้นไปยังเนิน 103 ครับ ใช้เวลาเดินต่อไปอีกไม่นาน บรรยากาศ มุมมองแม้ว่าจะไม่แตกต่างกันมาก แต่ผมเชื่อว่าจากจุดนั้นสวยงามมากเลยทีเดียวครับ ผมใช้เวลาค่อนข้างนานกับการหยุดถ่ายรูปกับเนินทั้ง 2 แห่ง
จุดตัดระหว่างประเทศไทยกับประเทศลาว โดยการแบ่งกั้นจากธรรมชาติดูลงตัวไม่น้อย ต้นไม้ ใบหญ้า แม่น้ำ ท้องฟ้า แสงอาทิตย์ดูประสานกันอย่างลงตัวในช่วงที่อากาศเริ่มเย็นลง จากดอยผาตั้งซึ่งถือว่าเป็นจุดไฮไลท์สำคัญอีกจุดหนึ่งสำหรับการเดินทางมาเยือนภูชี้ฟ้าในครั้งนี้ ผมยังมีอีกไฮไลท์หนึ่งที่ซึ่งเพิ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปเยี่ยมชมไม่นานนั้นก็คือ “ภูชี้ดาว”
จริงๆแล้วภูชี้ดาว เป็นที่ท่องเที่ยวใหม่ที่เพิ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปเยี่ยมชมในช่วงปีที่ผ่านมา ปีนี้จึงเป็นเพียงปีที่ 2 ของเส้นทางขึ้นไปยังภูชี้ดาว และในปีนี้วันที่ 1 ธันวาคม จะมีการเปิดเส้นทางใหม่เพื่อขึ้นไปยังอีกหนึ่งจุดชมวิวที่ชื่อว่า “ภูชี้เดือน” ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันของทั้ง 2 จุด
การขึ้นภูชี้ดาว จากดอยผาตั้งให้ย้อนกลับไปยังเส้นทางเดิมที่มุ่งหน้าไปยังภูชี้ฟ้า โดยภูชี้ดาวจะอยู่บนเส้นทางระหว่างภูชี้ฟ้าและดอยผาตั้ง ห่างจากหน่วยจัดการต้นน้ำประมาณ 5 กิโลเมตร โดยนักท่องเที่ยวจะต้องไปจอดรถบริเวณด้านล่าง เพื่อต่อรถของชาวบ้านขึ้นไปยังจุดจอดรถด้านบนที่ต้องขึ้นไปประมาณ 3 กิโลเมตรด้วยเส้นทางที่ค่อนข้างชันมาก
ค่าบริการของรถที่จะขึ้นไปยังจุดจอดรถจะอยู่ที่คนละ 100 บาท หรือราคาเหมาในราคาคันละ 500 บาท ใช้เวลากับระยะทาง 3 กิโลเมตรประมาณ 10 นาทีซึ่งผมว่าค่อนข้างอันตรายมากถ้าหากจะขับรถขึ้นมาเอง และจริงๆ แล้วเส้นทางนี้ก็ให้ขึ้นเฉพาะรถของชาวบ้านที่มีความชำนาญเส้นทางเท่านั้น
ทางชันขึ้นเรื่อยๆ จากจุดเริ่มต้นของการขึ้นรถ ตัดผ่านเข้ามายังเส้นทางที่ถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่ ถนนที่ลัดเลาะไปตามล่องของป่าที่ดูสมบูรณ์อย่างมาก ตลอดเส้นทางนักท่องเที่ยวจะต้องระวังกิ่งไม้ที่อาจจะมาเกี่ยวหัวได้ ประมาณ 10 นาทีก็มาถึงยังจุดจอดรถ ซึ่งจะมีร้านเล็กๆ ของชาวบ้านที่เตรียมไว้ขายน้ำ ขายของกินง่ายๆ ให้กับนักท่องเที่ยว
จากจุดจอดรถเราจะมองเห็นยอดเขาด้านบนจุดหมายปลายทางของภูชี้ดาวที่เราจะเดินเท้าขึ้นไป โดยระหว่างทางจากจุดเริ่มต้นจนถึงด้านบนประมาณ 700 เมตร เส้นทางก็ถือว่าช่วงแรกจะค่อนข้างชันเลยทีเดียวครับกับช่วงแรกประมาณ 400 เมตร ก่อนที่จะเป็นทางลาดไม่ชันมากเมื่อเดินขึ้นไปถึงยังสันเขาด้านบน
ประมาณ 15-20 นาทีกับการเดินฝ่าความชันของเส้นทาง แม้ว่าจะเหนื่อย จะเมื่อย จะหิวน้ำ แต่ภาพเบื้องหน้าที่ค่อยๆชัดขึ้นทำให้ขาผมที่เหมือนจะหมดแรงก็มีแรงขึ้นมาอีกครั้ง เป็นภาพที่เหมือนงานศิลปะที่ถูกสร้างสรรค์ไว้อย่างลงตัวกับวิวและบรรยากาศที่ได้เห็นเบื้องหน้า
มุมมองแบบ 360 องศาไม่มีอะไรมาบังตา สีสันที่ธรรมชาติรังสรรค์ขึ้น ต้นไม้ ภูเขา ท้องฟ้า ลงตัวอย่างที่ต้องเรียกว่าสมบูรณ์แบบ มีจุดพักเก้าอี้ไม้ยาวให้นั่งพักได้ด้านบนสันเขา โดยช่วงสุดท้ายของการเดินบนสันเขาไปสู่ยอดภูชี้ดาวจะมีราวไม้ให้จับตลอดเส้นทาง
ด้านบนจุดสูงสุดของภูชี้ดาว เบื้องหน้าคือ ภูชี้ฟ้า ในช่วงเวลาที่ผมเดินขึ้นไปด้านบนใกล้เวลาพระอาทิตย์ตกทำให้บรรยากาศในตอนนั้นยิ่งทำให้ภาพที่อยู่เบื้องหน้าผมสวยขึ้นอีกมาก ผมพัดเย็นๆ ปะทะหน้า กับแสงอาทิตย์สีทองผมเชื่อว่าคงเป็นบรรยากาศที่ใครๆ ก็อยากขึ้นไปสัมผัส
ต้องเรียกว่าอยากจะหยุดหายใจกับภาพและบรรยากาศที่อยู่เบื้องหน้า เบื้องหลัง รอบๆตัวผมจากบนนั้น ผมใช้เวลาค่อนข้างนานกับการจ้องมองพระอาทิตย์ที่ค่อยๆ เเคลื่อนตัวลงลับขอบฟ้าทางด้านหลังภูชี้ฟ้าที่อยู่ด้านหน้า ก่อนที่จะแสงพระอาทิตย์จะหมดลงในวันนั้น ผมเดินลงมาด้านล่างจุดจอดรถก่อนจะนั่งรถกระบะลงไปด้านล่างอีกที
2 ภู “ภูชี้ดาว-ภูชี้ฟ้า” กับอีก 1 ดอย “ดอยผาตั้ง” หากคุณคือนักเดินทางเดินทาง ผมว่าที่นี่ควรจะเป็นหนึ่งในเป้าหมายของการเดินทางของคุณครับ เมืองไทยยังมีสถานที่อีกมากมายที่รอให้ผมและคุณไปสัมผัส ความสุขกับการได้อ่านไม่เท่ากับการได้เห็นกับตา ลองหาเวลาแล้วออกเดินทางเพื่อไปเห็นครับ
Tags: mblog, ช่องผาขาด, ผาตั้ง, ภูชี้ดาว, ภูชี้ฟ้า, ฤดูหนาว, เชียงราย, เที่ยวภาคเหนือ, เที่ยวเชียงราย
This entry was posted on Wednesday, December 7th, 2016 at 11:49 am and is filed under Travel. You can follow any responses to this entry through the RSS 2.0 feed. Responses are currently closed, but you can trackback from your own site.
Comments are closed.