"ยามเย็น"
สนธยาของชีวิตที่พัดมา
พร้อมกับเรื่องที่ต้องคิดคำนึง
.
“คนเรามักจะจริงจังกับสิ่งที่ไร้แก่นสารในชีวิต
ที่คนฉลาดมองว่าเป็นแค่ของเล่นชั่วคราว
ไม่ควรเสียเวลามากมายไปกับมัน
แต่สิ่งที่ค้นเจอแล้วทำให้ชีวิตมีโอกาส
ยุติการแสวงหาอย่างถาวรดั่งเช่นสัจธรรม
อันได้แก่การดับทุกข์ในใจ
หรือสิ่งที่มาช่วยปลดเปลื้องความทุกข์ให้หมดไป
เรากลับมองว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะศึกษามัน”
ในยามเย็นของแต่ละวัน หากเราสังเกตธรรมชาติของสรรพสิ่งที่เปลี่ยนไป จะเห็นได้ว่าแต่ละอย่างล้วนแสดงบทบาทให้เราได้ศึกษาอยู่เนืองๆ เป็นความรู้ที่ได้รับจากสิ่งที่เกิดขึ้น เพื่อก้าวไปสู่สิ่งใหม่ซึ่งได้รับการต่อยอดมาจากสิ่งเดิมอีกทีหนึ่ง
เพราะในหลักของธรรมชาติ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเป็นครูสอนชีวิตของเราเสมอ เป็นการนำเรื่องราวของสิ่งต่างๆ มาเสนอ แล้วน้อมมาสู่การพิจารณาด้วยตัวของเราเอง ซึ่งจะทำให้รู้ได้ว่าธรรมชาตินั้นกำลังสอนอะไรแก่เรา
เช่นหากเรามองเห็นดวงอาทิตย์ที่เคลื่อนคล้อยในแต่ละวัน แล้วสรุปว่าเป็นเพียงสัญลักษณ์ที่แสดงให้รู้ว่า วันหนึ่งได้หมดไปแล้วเท่านั้น ยามเย็นของแต่ละวันที่ผ่านไป ก็จะไม่ก่อให้เกิดปัญญา และไม่มีอะไรที่ควรค่าต่อการจดจำ
ทว่าหากใส่ใจชีวิตผ่านกาลเวลาที่เสียไป เราจะสัมผัสได้ถึงคุณค่าที่ได้มาจากยามเย็นของกาลเวลา ที่เข้ามาปลุกใจของเราให้ตื่นขึ้นมาดูตัวเอง และดูความจริงของทุกสิ่งที่กำลังเปลี่ยนไป
ที่สำคัญเวลาในยามเย็น สอนให้เรารู้จักความไม่จีรังยั่งยืนในชีวิตอย่างลึกซึ้ง เป็นครูที่ช่วยเตือนสติให้เรารู้จักเฝ้าถามตัวเอง และรูจักค้นหาคุณค่าของเวลาที่เสียไปอย่างแยบยล
เพราะเมื่ออาทิตย์คล้อยดับ เหล่าวิหคต่างพากันบินกลับรัง และผู้คนต่างพากันทยอยกลับเข้าที่พักของตน นั่นเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่า เวลาของชีวิตได้ผ่านไปอีกวัน และหมดไปพร้อมกับสิ่งที่มาพรากชีวิตของเราให้ต้องอยู่บนโลกในนี้น้อยลง
แต่จะมีสักกี่คนที่เห็นคุณค่าของเวลา และคุณค่าของชีวิตที่กำลังหมดไป และจะมีสักกี่คนที่เฝ้าทบทวนชีวิต แล้วรู้จักสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตัวเองอย่างผู้รู้คุณค่าของเวลาที่เสียไป
เพราะคนส่วนมากมักจะประมาทต่อเวลาที่ได้มา สำคัญผิดคิดว่าสิ่งที่ไร้สาระเป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามากอดรัดไว้ จนเวลาหมดไปโดยที่เราก็ตอบไม่ได้ว่า “เรากำลังค้นหาอะไรกัน”
หลวงตาสุริยา มหาปัญโญ แห่งวัดป่าโสมพนัส อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร ผู้เป็นที่เคารพยิ่งของผู้เขียนกล่าวไว้ว่า “คนเรามักจะจริงจังกับของเล่น แต่มักจะทำเล่นกับของจริง”
คือคนเรามักจะจริงจังกับสิ่งที่ไร้แก่นสารในชีวิต ที่คนฉลาดมองว่าเป็นแค่ของเล่นชั่วคราว ไม่ควรเสียเวลามากมายไปกับมัน แต่สิ่งที่ค้นหาเจอแล้ว ทำให้ชีวิตมีโอกาสยุติการแสวงหาอย่างถาวรดั่งเช่นสัจธรรม อันได้แก่การดับทุกข์ในใจหรือสิ่งที่มาช่วยปลดเปลื้องความทุกข์ให้หมดไป เรากลับมองว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะศึกษามัน
ทำเหมือนว่าความจริงที่ควรจะรู้นั้น ช่างเป็นอะไรที่ไร้ค่าในสายตาของคนดู สุดท้ายเราจึงมักตายไปพร้อมกับเครื่องหมายคำถามของชีวิต และมักจะบ่นเสียดายว่า เราไม่น่าใช่เวลาที่เสียไปอย่างสุรุ่ยสุร่ายเลย
อีกเหตุผลหนึ่งที่เราควรรับรู้ก็คือ ยามเย็นของชีวิตมักสอนเรา ผ่านการแสดงออกของตัวละครที่เคลื่อนไหวไปมา ขอเพียงเรารู้จักทอดสายตามองให้เห็นคุณค่าของมัน ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้น ย่อมนำพาความฉลาดมาสู่ตัวเราเสมอ
ไม่ว่าจะเป็นดวงอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้าเมื่อเย็นลง หมู่วิหคที่โผบินกลับรัง และผู้คนที่ต่างรีบพากายและใจอันเหนื่อยล้ากลับไปยังบ้านของตน ล้วนเตือนสติให้เรารู้จักมองชีวิตให้ชัดเจนขึ้นทุกเมื่อ
อย่างน้อยก็ช่วยเตือนว่า ชีวิตที่ถูกใช้งานไปในแต่ละขณะ นั่นคือการเดินไปสู่ยามเย็นของชีวิตตลอดเวลา เป็นชีวิตที่บ่ายหน้าไปสู่ความเสื่อม และพร้อมจะโบกมือลาไปในนามของความตาย
ขณะเดียวกัน ยามเย็นของกาลเวลา ก็สอนให้เรารู้จักที่จะซึมซับสิ่งดีๆ ไว้ในอ้อมกอดเสมอ จึงทำให้ชีวิตที่ได้เกิดมาได้รู้จักที่จะอยู่อย่างเข้าใจ รู้จักที่จะประคองชีวีที่มีอยู่ให้ก้าวไปอย่างรู้เท่าทัน และเพื่อที่จะให้ความจริงที่มี ได้สร้างชีวิตให้มีความงามสำหรับประดับตน
ยามเย็นอันเป็นสนธยาของชีวิต จึงเป็นสิ่งที่พัดผ่านมาพร้อมกับหลายๆ เรื่องที่เราต้องคิด และต้องคำนึงถึงคุณค่าแห่งการเกิดมา พร้อมกับคุณค่าแห่งการมีชีวิตอยู่จริงๆ มิใช่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ผ่านไป โดยที่เราเองไม่ฉลาดพอที่จะทำความเข้าใจในมัน
เพราะชีวิตมิควรแค่เกิดมาแล้วอยูไปวันๆ รอวันที่จะถูกความตายมายุติบทบาทลงเท่านั้น แต่เราควรรู้จักสร้างโอกาสให้กับตัวเอง โดยการเฝ้าตรวจตราสรรพสิ่งที่ผ่านเข้ามาแล้วทำตัวให้เป็นนักวินิจฉัยทำให้ปัญญาได้งอกเงย
แล้วปัญญาที่ถูกระตุ้นให้ตื่นตัว ย่อมตื่นรู้และและตามความเข้าใจในทุกเรื่องราว และทำให้เราอยู่อย่างเป็นสุขท่ามกลางความเป็นทุกข์ที่ประเดประดังเข้ามาได้อย่างผ่อนคลาย
ครั้นถึงวันที่ทุกอย่างไม่เป็นไปดั่งใจหวัง เราก็จะไม่รู้สึกเสียดาย เพราะเราเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า สิ่งที่เกิดขึ้นและดับไปนั้น มันมีที่มาและที่ไปอย่างไรด้วยใจที่เป็นธรรม
สวัสดีค่ะ น้อง hakung..
มีหนังสือเรื่องหนึ่งชื่อ The world without us
ว่าด้วยเรื่องโลกที่ปราศจากมนุษย์
ผู้เขียนบรรยายถึงความเป็นไปของพืชและสัตว์ที่ยังอยู่กับธรรมชาติที่ทิ้งซากที่มนุษย์ทำลายไว้
ไม่ทราบแปลเป็นไทยหรือยังค่ะ..
เขาบรรยายไว้ให้เห็นภาพที่เราไม่อยากให้โลกเป็นค่ะ
happy day everyday and evening ka
^^
ขอบคุณที่นำมาฝากค่ะ
อ่านแล้วเย็นใจ
จำเราได้น๊ะ ^^
อิอิ
เราก็จำฮาคุงได้
พบ พราก … เนอะ
ไม่พบ ไม่พราก … แต่ก็อยากพบกันบ่อย ๆ อยู่ดี
🙂
คิดถึงนะคะ
ไม่ได้คุยกันตั้งหลายวันเนอะ
สวัสดีค่ะคุณhakung
ขอบคุณมากค่ะที่แบ่งปัน”ปรัชญายามเย็น”
(แต่วันนี้อยากให้ถึงยามเย็นเร็วๆค่ะ…เหนื่อยจัง)
^___*
ระรื่น..ยามเช้าฮะ
🙂
ท่านพี่ athenaz เอาเหรียญทองกับเหรียญเงินไปแว้ว!!
คนเรานี่ถ้าหยุดคิดสักนิด รอบตัวล้วนก่อเกิดเป็นปรัชญาได้หมดเลยนะครับ
สบายดีเน้อ !!
อ้าว จอง หมายเลข 1 และ 2 ..
🙂
สวัสดียามดึกค่ะ..
ปรัชญายามเย็นกินใจให้ได้คิดมากมายค่ะ..
“..ครั้นถึงวันที่ทุกอย่างไม่เป็นไปดั่งใจหวัง เราก็จะไม่รู้สึกเสียดาย เพราะเราเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า สิ่งที่เกิดขึ้นและดับไปนั้น มันมีที่มาและที่ไปอย่างไรด้วยใจที่เป็นธรรม..”
ยามเย็นได้ผ่านไปอีกวันสู่รัตติกาล.. ฝันดีค่ะ :))