Feb 11 2009
.. ความรัก 10 มิติ..+*
ความรัก ๑๐ มิติ
ความรัก ๑๐ มิติ ฉบับเขียนใหม่ พิมพ์ที่ บริษัท ฟ้าอภัย จำกัด ๖๔๔ ซ.เทียมพร ถ.นวมินทร์ |
![]() |
.
ความรัก มิติที่ ๑ กามนิยม มิติที่ ๑ คือ ความรักที่เป็นเรื่องของความใคร่ เรื่องของ กาม เรื่องของการสมสู่ของผู้หญิงผู้ชาย เรื่องของคน ๒
.
.
. .
ความรัก มิติที่ ๑ กามนิยม ความรัก มิติที่ ๑ กามนิยม
มิติที่ ๑ คือ ความรักที่เป็นเรื่องของความใคร่ เรื่องของ กาม เรื่องของการสมสู่ของผู้หญิงผู้ชาย เรื่องของคน ๒ คน หาก จะเห็นแก่กันและกันก็แค่อยู่ในวงวนของ”คนคู่”หรือคน ๒ คน ซึ่งเป็นความรักที่เผื่อแผ่แก่กัน อยู่แค่คน ๒ คน ความรักมิตินี้ ถ้ายิ่งรักมาก ติดใจในรสกามของคู่ตน สุขสมในรสใคร่ มากเท่าใดๆ ก็ยิ่งแคบมากเข้าๆ เท่านั้นๆ มันเป็นวงแคบ ที่เห็นแก่ แค่คู่รัก คู่ใคร่ ของตนเท่านั้น ถ้าแม้นติดมากยึดมาก ดูดดึงมาก ก็ยิ่งหวงแหนมาก ผูกมัด รัดรึง ตรึงใจ เป็นอุปาทานแน่นขึ้นๆ และหากยิ่งมีแต่ความใคร่มากขึ้นๆ ก็ยิ่งจะมืดซ้ำ ดำฤษณา เป็น ความหลงใหล คลั่งไคล้ และหึงจัด รัดรอบรุนแรง ไม่มีคนอื่น แทรกเข้าได้เลย มีอะไรก็ทุ่มโถมให้ แต่แก่เธอ แก่ความรักที่หลงติด ผูกแน่นนี้เท่านั้น หนักเข้าๆ จะเห็นแต่แก่ตัว โดยอาศัยคู่ที่ตน รักสุดนั่นแหละ เป็นเครื่องมือ หรือ เป็นองค์ประกอบ ในการเสพสม สุขสม ให้แก่ตน ยิ่งหลงในรสสุขนั้น มากเท่าใด ก็ยิ่งยึด เป็นของตัวของตนสนิทเนียนเข้าเป็นตน กระทั่งถึงขั้น ใครมอง ใครแตะต้องไม่ได้ จะหึงแรงจนถึงขั้น ทำร้ายคนที่มากล้ำกรายได้ ถึงขั้นเอาตายกันทีเดียว
. .
.
อารมณ์ชนิดนี้ คือ ความเห็นแก่ตัวแท้ๆ คือ ความโลภเพื่อตัวเพื่อตนเต็มๆ คือ กามราคะสมบูรณ์แบบ หากจะ เรียกว่า “ความรัก” ก็เป็นความรักที่ต้องการ มาบำเรอตนนั่นเอง
การบำเรอตนเอง ไม่ใช่ “ความรัก” การได้มาสมใคร่ สมอยากแก่ตน เป็น “ความเห็นแก่ตัว”
ใครถ้าแม้นถึงขั้นปฏิบัติต่อคู่ของตนเยี่ยงทาสหรือเยี่ยง วัตถุบำบัดความใคร่ ไม่มีใจเผื่อแผ่เกื้อกูล ปรารถนาดีต่อคู่ ของตน แม้ด้านกายภาพ จะจ่ายวัตถุเข้าของเงินทอง ทรัพย์ศฤงคาร ให้ด้วยอากัปกิริยา ที่ดูเหมือนมีน้ำใจ เอื้อเอ็นดู เสียสละ ปานใดๆ ก็ตาม ก็เป็นเพียงค่าจ้าง ทุกอย่างเพื่อ “ตัวเอง” แท้ๆ คนผู้นี้ยังไม่ชื่อว่า “มีความรัก” เป็นแค่ผู้ “ให้” หรือผู้ “จ่าย” ค่าจ้าง เพื่อ บำเรอความใคร่ของตน
จนกว่าคนผู้นี้ จะมี “การเผื่อแผ่การเสียสละ” ให้แก่ “คู่” ของตน อย่างบริสุทธิ์ใจไม่ว่าจะ “ให้” วัตถุธรรมให้รูปธรรม หรือ ให้นามธรรม ถ้าให้มาก ใจสะอาดมากก็ “รัก” มาก ให้น้อย ใจสะอาดน้อยก็ “รัก” น้อย เพราะการ “ให้” หรือ “สละ” ที่ออกไปจาก “ความรัก” เกิดจาก “ความรัก” นั้น จะมิใช่เพื่อแลกอะไร อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ เป็นอันขาด
“ความรัก” ไม่ใช่ “ความโลภ” หรือ “ความแลก” มาให้ตน
หากยังมีความโลภใดๆที่เหลือเป็นเศษเป็นส่วน อันต้องการแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่ตน “ให้” หรือตน “สละ” อยู่เท่าใดๆ ก็ลด “ค่า ของความรัก” ลงตามจริงเท่านั้นๆ ยิ่งเป็นการ “ให้” หรือ “สละ” เพื่อแลกเอามา “เป็นของตนคนเดียว” หรือ “เป็นทาสผู้ซื่อสัตย์ ต่อตน” ที่ตนจะได้ทาสนั้น ไว้บำเรอประโยชน์ แก่ตนแต่เพียงผู้เดียว ก็ยิ่งมิใช่ “การให้-การสละ” เลย แต่เป็น “การซื้อ” แท้ๆตรงๆ ป่วยการกล่าวถึงคำว่า “ความรัก”
ยิ่งชอบมาก ติดใจมากในรสกามของคู่ตน สุขสมใน รสใคร่มาก ที่เห็นคู่เสพของตน เจ็บปวดทุกข์ทรมาน ตนยิ่ง สุขสะใจ (sadist) นั่นยิ่งไม่ใช่ “ความรัก” แต่นั่นคือ การสุขสมอารมณ์ ที่ตนชอบความรุนแรงโหดร้าย ซึ่งฝังอยู่ส่วนลึก ในก้นบึ้ง ของจิตตนเอง เป็น “สัญชาตญาณหรืออนุสัย” (unconscious) ที่เจ้าตัวไม่สามารถ หยั่งลงไปล่วงรู้ ความจริงของ “จิตวิปริต” เหล่านี้ได้ เพราะมันเป็น “จิตไร้สำนึก” (unconscious) ที่เกิดจากตนเคย ยินดีในความรุนแรง และได้สะสม ความรุนแรง ใส่จิตตนมานาน
เช่น ชอบดูการแข่งขันที่เอาชนะคะคานกันอย่างถึงพริก ถึงขิง หรือชอบดูการต่อสู้ที่ฟาดฟันห้ำหั่นกัน ดูการทำร้าย เข่นฆ่า ยิ่งต่อสู้กันรุนแรง โหดเหี้ยมเท่าไหร่ ก็ยิ่งชอบ กระทั่งรุนแรงสูงขึ้น หยาบขึ้นๆ เป็นคนชอบความโหดร้าย จึงกลายเป็น “คนชอบในความรุนแรง ทุกข์ทรมาน เหี้ยมโหด ฝังลึกอยู่ในจิตไร้สำนึก” (sadist)
จิตที่ได้สั่งสม “ความชอบ หรือ รักรสชาติของความอำมหิต” เช่นนี้ เมื่อมาแสดงออกกับใคร ย่อมมิใช่ “ความรัก” แม้จะมี “การให้ การสละวัตถุธรรมรูปธรรมนามธรรม” กับคู่รักของตน มากเท่าใดๆ ก็ยังมิใช่ “ความรัก” แต่เป็นเพียง “สิ่งแลกเปลี่ยน” เพื่อให้ได้มาซึ่ง “ความอำมหิต” หรือ “ความวิปริต” ที่ฝังลึกอยู่ใน “จิตไร้สำนึก” ของตนโดยแท้
ถ้า “จิตวิปริต” ในความอำมหิตได้สั่งสมใส่จิตร้ายหนัก ยิ่งๆขึ้นไปกว่านี้ ก็ก้าวถึงขั้น “ตนสุขสะใจ เมื่อตนได้เจ็บเสียเอง ปวดเสียเอง ทุกข์เอง ทรมานเอง” (masochist) ไม่ว่าตนทำตนเอง หรือใครจะเป็นผู้กระทำให้ ก็สุขสะใจได้ทั้งนั้น เพียงแต่ว่า คนผู้อำมหิตถึงขั้น “ตนเองทำตนเอง” จึงจะสุขสะใจ นั้นแหละคือ ผู้ มีจิตรุนแรงร้ายยิ่งกว่า ผู้ที่ “คนอื่นทำให้ตนเจ็บ” แล้วก็สุขสะใจ .
.
ความรักมิติที่ ๑ นี้ เป็นความรักแบบเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าเพศตรงกันข้าม หรือวิตถารเพศเดียวกันเป็นความรัก ที่เห็นแก่กันและกันอยู่ แค่ฉันกับเธอเท่านั้น หรือเห็นแก่ผู้อื่น ก็แผ่ออกไปแค่คนๆเดียว วงรักจึงแคบอยู่แค่คน ๒ คน คือ ให้แก่กัน และกันก็แค่ ๒ คน ซึ่งถ้าจัดจ้าน ก็มีอารมณ์หึงหวง แก่งแย่ง รุนแรง ถึงขั้นฆ่ากัน ฆ่าตนเองสังเวยชีวิต เซ่น บูชารัก ก็เป็นได้
ขึ้นชื่อว่า “กาม” มีแต่ความขาดทุน เพราะได้เสพอารมณ์กามสุขนิดหน่อย แต่ทุกข์ยากมากหลาย ทำลายก็หนักหนา เปลืองชีวิต เปลืองใจ เปลืองเวลา เปลืองแรงกาย เปลืองแรงสมอง เปลืองทุนรอน วัตถุทรัพย์สิน เป็นความผลาญพร่า เสียหายที่สุดในโลก ความรักมิติที่ ๑ นี้ จึงต่ำต้อย ด้อยค่าที่สุด นับว่าไร้คุณประโยชน์ ยิ่งกว่าความรักชนิดใดๆ
อารมณ์ “กามสุข” ก็เป็นแค่ “รสอร่อยที่หลงติด” (อัสสาทะ) ซึ่งเป็นเพียง “อารมณ์หลอกๆ,ไม่จริง” (อลิกะ) เพราะแท้ๆ มันเป็น “ความยึดมั่นถือมั่น” (อุปาทาน) ที่คนสามารถจะเลิก จะศึกษาปฏิบัติ ละล้าง จนหมดเกลี้ยง ไปจากจิต ของผู้หลงติด หลงยึด ให้สำเร็จ เด็ดขาดสัมบูรณ์ (absolute) ได้จริง อันเป็นเรื่อง “เหนือธรรมชาติ- เหนือความวนเวียน” (โลกุตระ) หรือเป็นเรื่อง “ล้างสัญชาตญาณ การสืบพันธุ์แห่งสัตวโลก” (โลกุตระ) กันทีเดียว เรื่องนี้ก็คงยาก ที่จะเชื่อกัน แต่ขอยืนยันว่า “เป็นไปได้” (possible) หรือ “สามารถ ทำได้” (practicable) จริงแน่แท้ ศาสนาพุทธขอท้าทายให้มา พิสูจน์ (เอหิปัสสิโก)
สรุปแล้ว “ความรัก” มิติที่ ๑ นี้ หากใครจะหมายเอาว่าเป็น “ความเห็นแก่ตัว” ก็ช่างเห็นแท้ดูจริงมากยิ่งเหลือเกิน เพราะ กิเลสพาให้เกิด สภาพเช่นนั้นจริง จนทำให้คนมากหลาย เข้าใจผิด ว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นได้ แต่ถ้าหากหมายเอาว่าเป็น “ความเผื่อ แผ่-เสียสละ” ก็เป็นแค่ “ให้” เพื่อแลกกับที่ตนจะได้เสพ “รสอร่อยที่ใคร่อยาก” (อัสสาทะ) เป็นการเกื้อกูล วนแคบอยู่แค่กับคนๆเดียว หรือเกื้อกูลแก่กันและกันอยู่แค่ “คน ๒ คน” ” ความรัก มิติที่ ๑ นี้ จึงเรียกว่า “กามนิยม“ หรือ “เมถุนนิยม”
.
หากใครยังกำจัดกิเลสของตนให้ลด “ความเห็นแก่ตัว” ที่เผื่อแผ่แก่กันและกันอยู่แค่คน ๒ คนนี้ ไม่ได้ เมื่อได้ก่อกรรม ผูกเวรขึ้น มีคู่จนเป็นภาระแท้จริงเสียแล้ว ก็ควรจะต้องเมตตา หรือปรารถนาดี แก่คู่ของตนบ้าง ควรจะต้อง พากเพียร แบ่งใจ แบ่งพลังงาน แบ่งเวลา แบ่งทุนรอน เอื้อเฟื้อ เกื้อกูล เสียสละให้คู่ ของตน ควรจะต้องรับผิดชอบ ตามหน้าที่ อันสมควร มิเช่นนั้น ก็จะได้ชื่อว่า ยิ่งต่ำเพราะเลวซ้ำเลวซ้อน
แต่นั่นแหละ อย่างไรมันก็เป็นความแคบ “ความรัก” อื่น ที่ประเสริฐกว่านี้ ยังมีอีกมาก ควรศึกษาเสริมสร้างความรัก ที่เป็นคุณค่าประโยชน์ เกื้อกูลต่อผู้อื่น พลังงานและเวลา แม้แต่ ทุนรอน ทรัพย์วัตถุ โดยเฉพาะจิตใจ ซึ่งคนอื่นๆ อีกมากหลาย ในโลกที่ควรได้ประโยชน์
“ความรัก” ไม่ใช่เรื่องแค่ “คน ๒ คน” เท่านั้นแน่ๆ ที่เราจะเกื้อกูลแบ่งใจแบ่งชีวิต แบ่งพลังงาน แบ่งเวลา แบ่งทุนรอน เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ หรือเสียสละให้ เพราะผู้อื่นมีอีกมากมายในโลก ที่เราจะ เอื้อมเอื้อ เกื้อกว้าง ออกไป จากตัวจากตน ที่เป็นวงแคบเพียง ๒ คน หากได้ศึกษาพุทธธรรม ถึงขั้นโลกุตระ ประพฤติตน ให้บรรลุ มรรคผลดีขึ้นสูงขึ้น ลดกามลดกิเลส ที่ทำให้เห็นแก่ตัวอยู่ ออกไปได้อีก มากเท่าใดๆ “ความรัก” ก็จะเป็น “ความเกื้อกูลเสียสละ” ที่เจริญงอกงาม ไปสู่ความประเสริฐ ยิ่งๆขึ้น เท่านั้นๆ
หากใครสามารถลดความสูญเสียพลังงาน ทั้งพลังกาย พลังใจ ลดความสูญเสียเวลา ลดความสูญเสีย ทุนรอน เพื่อความรัก มิติที่ ๑ นี้ลงได้มากเท่าใดๆ หรือที่สุด ไม่ต้องสูญเสียอะไร เพื่อความรักมิตินี้เลย ก็นั่นแหละคือ ความหลุดพ้นจาก “ความรัก มิติที่ ๑” นี้สำเร็จ
.
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
![]() |